Wednesday, September 1, 2010

คลื่นวิบาก

ที่ห่างหายไปช่วงหนึ่ง และ ล่วงเลยมาจนป่านนี้ ถึงมาเขียนเอา ก็เพราะความที่ทุกสิ่ง ทุกอย่าง อยู่นอกเหนือการควบคุม มันเป็นเช่นนั้นเอง

เช้าวันเสาร์ กะว่าจะโม่ syslog ให้จบ แต่น้องบัช ก็โทรฯมาว่าจะแวะมาเยี่ยม ก็โอเค มาก็มา รับคำน้องบัชว่า ว่าง มาได้ เพราะงานที่ทำคือเขียน blog นั้น ชะลอได้ ต้อนรับอาคันตุกะ สำคัญเป็นที่สุด
ตกลงปลงใจแล้ว ก็หาอาหารเช้าให้อุรากิน ระหว่างนั้น พลันก้นึกได้ว่า ในเมื่อน้องเขาไปรอที่ปากเกร็ด ก็น่าจะพาน้องเขาไปเที่ยวเกาะเกร็ดเสียด้วยเลย เลยแจ้งให้น้อง รอที่ท่าเรือปากเกร็ดนั่นแหละ
ไปเจอกันที่ท่าน้ำปากเกร็ด บัช เขาก็เรียบร้อยอาหารเช้าไปแล้ว อีกจนได้ งวดก่อน มะไฟ ก็ไม่ได้เลี้ยงอาหารในฐานะเจ้าของถิ่นเลย นับว่าบกพร่องมากโขอยู่ มางวดนี้ เขาก็อิ่มเองซะก่อนอีก เฮ้อ

พากันเดินลัดเลาะตลาดเก่า ทะลุไปออกถนนที่นำไปยังวัดสนามเหนือ

ลงเรือ ที่ท่าวัดสนามเหนือ แล้วไปขึ้นท่าวัดปรมัยฯ แล้วเดินตามทางเดินรอบเกาะ ระหว่างทาง เห็นน้องเขาทักทายเพื่อนมุสลิมด้วยกัน ก็ถือว่าธรรมดา เพราะเพื่อนชาวมุสลิม มาเที่ยวที่เกาะเกร็ด ก็มีให้เห็นเป้นประจำ อย่าว่าแต่เพื่อนชาวมุสลิมเลย ฝรั่ง เยอรมัน ญี่ปุ่น จีน ก็มากัน

น้องบัชบอกว่า เธอทั้งสอง เป็นชาวมาเลย์ ทำเอาแปลกใจอยู่เหมือนกัน ว่าเข้าไปทักกันได้ยังไง
น้องบอกว่า ฟังหสงเสียงที่เธอสนทนากัน ทำให้สงสัยว่าน่าจะเป็นชาวมาเลย์เพื่อนบ้าน พอไปพูดจาด้วยภาษายะวีกันเข้า ก็เลยได้ทราบความเป็นมาเป็นไปซึ่งกันและกัน

ก็ ยินดีด้วย ที่น้องบัช ได้พบเพื่อนบ้านในต่างแดน ซึ่งคนจีน เขาถือว่าเป็น มงคลยิ่ง น่ายินดียิ่ง

ก็นึกว่า คงจะผ่านไปเพียงแค่นั้น แต่พอพาน้องบัชไปดูการทำเครื่องปั้นดินเผา ข้างๆวัดไผ่ล้อมเสร็จ พอออกมา น้องเขาเกิดความจำเป็นต้องไปชำระคดีความ เลยต้องย้อนมาเข้าข้างๆวัดไผ่ล้อม ซึ่งมีที่บริการอยู่

ระหว่างยืนรอ ก็โดนชน สามคน มารุมชน มะไฟ คนเดียว พอหันไปมอง ก็คุ้นๆ ยิ่งมอง ยิ่งจ้อง ก็เลยนึกออก เพื่อนมาเลย์ ที่น้องบัชเข้าไปทักทายกันนั่นเอง พวกเธอ คงเข้าไปชมความงดงามของโบสถ์ วัดไผ่ล้อม แล้วออกมาถ่ายรูปกันหน้าทางเข้าเอาไว้

ทักทายกันพอให้รู้ว่า มะไฟ มากับ บัช ที่ทักพวกเธอเมื่อครู่นี้ไง แล้วก็หยิบนามบัตร มอบให้เธอทั้งสามคนไป
อีกคน พอเห้นนามบัตรเข้า ก็โพล่งออกมา

อุ้ยๆ พี่ อยู่ใกล้ๆกับที่หนูเรียนเลยค่ะ
เฮ้ย นี่เธอ ไม่ใช้แขกมาเลย์หรอกรึ

หน้าตา ดูยังไงก็แขก แต่มาเรียกตัวเองว่าหนู มึน
พอสักพัก บัชออกมา ก็จ้อกันยกใหญ่

อีทีนี้แหละ เป็นเรื่อง ทาริกานางหนูนั้น ที่มองยังไงก็หน้าแขกนั่น กลับโอละพ่อ ลูกลาวสีเกษ(ศรีสะเกษ) เป็นงั้นไป ยิ่งพอรู้ว่า มะไฟ ก็เว้าลาวได้ ยิ่งไปกันใหญ่ มิหนำซ้ำ เพื่อนมาเลย์ นั้นคุณแม่ของเธอคนหนึ่ง ก็เป็นคนที่ได้รับทุน ไจก้า แบบเดียวกับที่เคยได้รับไปอีก

เอ้า เอาเข้าไป มีอะไรที่มันมาร่วมกันได้อีกมั้ยเนี่ย ฮึ

ช่วงเที่ยง พวกเราหากินกันแถวนั้น มะไฟ ไม่ได้เฉลียวใจคิด แต่ทาริกาติ๋ง เธอบอกว่า พวกเขาต้องกินอาหารของพวกเขา น้องบัช ก็บอกว่า ต้องพาไปหาอาหาร ฮาลาล (สะกดผิดไป ขออภัย) ที่ซอยสามัคคี ดังนั้น จึงพากันลงเรืออีกเที่ยว ข้ามฟาก พาไปที่ซอยสามัคคี

โชคดี ที่หาร้านอาหารมุสลิมจนเจอ เลยขอถือเป็นโอกาสดี จัดการเลี้ยงอาหารมื้อนั้นให้ น้องๆ ทั้งหลายกันให้อิ่มหนำสำราญกันทุกคน ได้ทำหน้าที่นี้อย่างสมใจซะที

บัช กลับยะลาค่ำคืนนั้น น้องสาวมาเลย์ ๒ คน เธอมาอยู่เมืองไทย ๓ สัปดาห์ในฐานะ นักศึกษาแลกเปลี่ยน นี่เปนสัปดาห์แรกของพวกเธอ และ วันอาทิตย์ พวกเธอจะไป วัดโพธิ์ วัดพระแก้ว ... ก็ขอให้เที่ยว ให้สนุก

สุดท้าย ทาริกาติ๋ง เธอบอกว่า วันอาทิตย์ที่ ๒ สาวไปเที่ยวนั้น เธอต้องสอนพิเศษกับเพื่อน ที่ทำงานพิเศษไปด้วย เรียนไปด้วย ก็เลยเตลิดเปิดเปิงไปดูสถานที่ ก็พบว่า พวกเธอใจสู้มาก อาศัยแรงกาย เข้ามาอาสาทำงานที่หนักมาก

สอนพิเศษ ครับ พวกเธอรับสอนพิเศษกัน
ตั้งแต่อนุบาล ยัน ม. ต้น ที่ตั้งอยู่หลังเมเจอร์ ห้าแยกปากเกร็ด

ขอให้สังเกตุ ตัวอักษร CU บนป้าย นั่นแหละ ของแที ที่ทีแรก มะไฟ นึกว่าเขียนกันมายังงั้นแหละ ที่ไหนได้ เพื่อนของ ติ๋ง จบจุฬาฯ มาต่อปริญญาโท ที่บางเขน ติ๋ง เธอเรียนเรื่องพวก LCA : Life Cycle Assessment ที่ มะไฟ ได้ยินทีแรกก็รีบนึกถึง lsc ไม่ก็ safety assessment ของเรื่องที่กำลังทำอยู่พอดี แต่เมื่อน้อง (ทีพอจะนับเป็นลูกได้) เธอชี้แจงโดยละเอียด จึงทราบว่า เข้าใจคลาดเคลื่อนไมากมาย

อะไรมันจะนัวเนียนุงนังเป็นตังเมแยกกันยากถึงปานนี้ก็ไม่รู้เนาะ



แต่บัดนั้น ที่พวกเราทั้งหมด ๒ บวก ๓ คน ได้พบกันช่วงสั้นๆ ไม่ถึง หกชั่วโมงดีเลยนั้น เมื่อแยกย้ายกันไปแล้ว ก็ไม่ได้พบกันอีกเลย

วิบากแห่งความสุข หรือ ทุกข์ ก็ไม่รู้ แต่ วูปมาแล้ว ก็จางหายไป ดุจดั่งคลื่นที่กระเพื่อมไปตามแรงกรรม

No comments:


View My Stats